อีกหนึ่งข่าวใหญ่ต้อนรับเดือนกันยายน ในแวดวงของคนค้าขายออนไลน์และนักการตลาดต้องทราบกัน ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ว่าแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็มาดูกันเลย
ต้องขอย้อนกลับไปเมื่อปีก่อน มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี e-Service ซึ่งเป็นหนึ่งในภาษีที่ทางภาครัฐเรียกเก็บจากผู้ประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศและมีการใช้บริการในประเทศ อาทิเช่น ผู้ให้บริการเกม เพลง ซีรีส์/ภาพยนตร์ หรือดิจิทัลคอนเทนต์อื่น ๆ เป็นต้น เนื่องจากในปัจจุบันคนไทยใช้งาน Facebook, Twitter, TikTok หรือ YouTube กันมากขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มเหล่านี้เปิดให้ผู้ใช้งานสามารถสมัครใช้งานได้ฟรี การให้บริการด้านโฆษณาบนแพลตฟอร์มจึงเป็นหนึ่งช่องทางที่จะทำให้แพลตฟอร์มนั้นให้บริการต่อไปได้ ซึ่งในแต่ละปีเพียงแค่ Facebook ก็สามารถทำรายได้จากการให้บริการโฆษณาบนแพลตฟอร์มไปหลายสิบล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีใด ๆ ให้กับการทำธุรกิจในประเทศไทยเลย ดังนั้นนี่จึงทำให้ภาครัฐหันมาให้ความสนใจ เพื่ออุดช่องโหว่กฎหมาย จัดเก็บภาษีจากการส่งเงินค่าโฆษณาไปให้ผู้ประกอบการต่างประเทศอย่าง Google และ Facebook
นั่นจึงทำให้ Facebook ผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย และให้บริการโฆษณาบนแพลตฟอร์ม จึงได้แจ้งกับผู้ใช้บริการว่า ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นไป โฆษณาบน Facebook ทั้งหมดในประเทศไทยจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT อยู่ที่ 7%
ทาง Facebook ระบุว่าเงื่อนไขดังกล่าวจะมีผลต่อผู้ลงโฆษณาที่ตั้งค่า ‘เป้าหมายการขาย’ กับธุรกิจหรือที่อยู่ใด ๆ ก็ตามที่ตั้งอยู่ในเขตประเทศไทย และในการตั้งค่าการชำระเงิน ผู้ใช้จะต้องเพิ่มหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นการแสดงบนใบเสร็จค่าโฆษณาด้วย ซึ่งในการตั้งค่าการชำระเงิน ผู้ใช้สามารถเพิ่มหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้แสดงบนใบเสร็จโฆษณาได้ นอกจากนี้ Facebook ยังระบุเพิ่มเติมอีกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มจะถูกเพิ่มทุกครั้งที่ผู้ใช้งานถูกเรียกเก็บค่าโฆษณา ไม่ว่าคุณจะซื้อโฆษณาบน Facebook เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจหรือส่วนตัวก็ตาม
กฎหมายฉบับนี้จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ และทางภาครัฐคาดว่าการจัดเก็บภาษี e-Service จะทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกปีละ 2,000 – 3,000 ล้านบาท ซึ่งนี่เป็นแค่ตัวเลขที่มีการคาดการณ์ก่อนที่ประเทศไทยจะเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดทำให้ยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตและยอดผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น รายได้ที่ทางภาครัฐจะได้รับจากภาษี e-Service ก้อาจจะเพิ่มขึ้นตาม เพราะคนหันมาขายสินค้าออนไลน์มากขึ้นการทำโฆษณาบนออนไลน์จึงได้รับความสนใจ เพราะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม หรือกลุ่มเป้าหมายที่อาจเป็นลูกค้าได้มากกว่า